วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
ผลงานลูกค้า
เปิดสอบ ราชการ งานราชการ หางาน สอบราชการ พนักงานราชการ สอบบรรจุ หางาน รับสมัครงาน สอบ กพ. อบต. สอบภาค ก สอบภาค ข รับสมัครงาน ศูนย์รวมงานราชการ
ศูนย์หนังสือสอบ sheetchula เป็นที่รวบรวมแนวข้อสอบรับราชการ ทุกหน่วยงาน และนี่คือผลงาน ความคิดเห็นของลูกค้าที่ซื้อข้อสอบจากเราไป บางส่วน
ศูนย์หนังสือสอบ sheetchula เป็นที่รวบรวมแนวข้อสอบรับราชการ ทุกหน่วยงาน และนี่คือผลงาน ความคิดเห็นของลูกค้าที่ซื้อข้อสอบจากเราไป บางส่วน
บริการต่างๅ
บริการต่างๆ
บริการต่างๆ
Youtube
แนวข้อสอบกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
รายละเอียดวิชาที่สอบ #แนวข้อสอบกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
1 ความรู้เกี่ยวกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
2 แนวข้อสอบกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
3 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการบรรเทาสาธารณภัย
4 พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550
5 แนวข้อสอบพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550
6 สาระสำคัญพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
7 แนวข้อสอบความรู้เหตุการณ์ปัจจุบัน การเมือง เศรษฐกิจและสังคม
8 แนวข้อสอบความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
9 สรุปสาระสำคัญของประชาคมอาเซียน
+++ อ่านประกาศเพิ่มเติม และลิ้งค์สมัครที่ http://www.งานราชการไทย.com/
+++ กดติดตามรับข้อสอบที่ : http://line.me/ti/p/%40awr8388d
+++ กดถูกใจเพื่อรับแนวข้อสอบกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ที่ https://www.facebook.com/1120164214714867
ความรู้ทั่วไป
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (อังกฤษ: Department of Disaster Prevention and Mitigation) หรือชื่อย่อ "ปภ." เป็นส่วนราชการระดับกรม สังกัดกระทรวงมหาดไทย ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545[2] เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการปฏิบัติภารกิจที่เคยซ้ำซ้อนอยู่ในหน่วยงานอื่นๆ ให้เป็นระบบ โดยมีภารกิจในการจัดทำแผนแม่บท วางมาตรการ ส่งเสริมสนับสนุนการป้องกันบรรเทาและฟื้นฟูจากสาธารณภัย โดยกำหนดนโยบายด้านความปลอดภัย สร้างระบบป้องกัน เตือนภัย ฟื้นฟูหลังเกิดภัย และการติดตามประเมินผล เพื่อให้หลักประกันในด้านความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้รับการถ่ายโอนภารกิจ และบุคลากรมาจาก 5 หน่วยงาน คือ
- กรมการเร่งรัดพัฒนาชนบท
- กองป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรมการปกครอง
- สำนักงานคณะกรรมการป้องกันอุบัติภัย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
- กองสงเคราะห์ผู้ประสบภัย กรมประชาสงเคราะห์
- กรมการพัฒนาชุมชน (งานบริการด้านช่างพื้นฐาน)
หน่วยงานในสังกัด
ราชการบริหารส่วนกลาง
- สำนักงานเลขานุการกรม
- กองกฎหมาย
- กองการเจ้าหน้าที่
- กองคลัง
- กองนโยบายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
- กองบูรณาการความปลอดภัยทางถนน
- กองมาตรการป้องกันสาธารณภัย
- กองส่งเสริมการป้องกันสาธารณภัย
- ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 1 ปทุมธานี
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 2 สุพรรณบุรี
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 3 ปราจีนบุรี
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 4 ประจวบคีรีขันธ์
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 5 นครราชสีมา
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 6 ขอนแก่น
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 7 สกลนคร
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 8 กำแพงเพชร
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 9 พิษณุโลก
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 10 ลำปาง
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 11 สุราษฎร์ธานี
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 13 อุบลราชธานี
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 14 อุดรธานี
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 16 ชัยนาท
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 17 จันทบุรี
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 18 ภูเก็ต
- ศูนย์อำนวยการบรรเทาสาธารณภัย
- สถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
- สำนักช่วยเหลือผู้ประสบภัย[3]
ส่วนภูมิภาค
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีหน่วยงานตั้งอยู่ในจังหวัดต่างๆ เพื่อเป็นหน่วยปฏิบัติและประสานงานของกรมในระดับจังหวัด คือ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด โดยมีหัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด (ผู้อำนวยการระดับต้น) เป็นหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ
- ร้อยโท สุวิทย์ ยอดมณี[4]
- นายไพโรจน์ พรหมสาส์น
- นายอนุชา โมกขะเวส
- รองศาสตราจารย์เสรี ศุภราทิตย์
- ผู้ช่วยศาสตราจารย์สมพร จองคำ
แนะนำการสอบ
คำแนะนำในการสอบกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (Department of Disaster Prevention and Mitigation) หรือชื่อย่อ "ปภ." เป็นส่วนราชการระดับกรม สังกัดกระทรวงมหาดไทย ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545[2] เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการปฏิบัติภารกิจที่เคยซ้ำซ้อนอยู่ในหน่วยงานอื่นๆ ให้เป็นระบบ โดยมีภารกิจในการจัดทำแผนแม่บท วางมาตรการ ส่งเสริมสนับสนุนการป้องกันบรรเทาและฟื้นฟูจากสาธารณภัย โดยกำหนดนโยบายด้านความปลอดภัย สร้างระบบป้องกัน เตือนภัย ฟื้นฟูหลังเกิดภัย และการติดตามประเมินผล เพื่อให้หลักประกันในด้านความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
ในการสอบเข้ากรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การสอบบรรจุเข้ารับราชการผู้เข้าสอบจะต้องเป็นผู้สอบผ่านการวัดความรู้ความสามารถทั่วไป (ภาค ก.) ของสำนักงาน ก.พ. ก่อน แต่ถ้าสอบเป็นพนักงานราชการไม่ต้องใช้ใบสอบผ่านภาค ก ของ ก.พ. การสอบเข้ากรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จะมีการประเมินสมรรถนะอยู่ 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 โดยการสอบข้อเขียน ครั้งที่ 2 โดยการสัมภาษณ์ และจะต้องผ่านการประเมินสมรรถนะครั้งที่ 1 โดยวิธีการสอบข้อเขียนก่อนและเมื่อผ่านการประเมินสรรถนะครั้งที่ 1 แล้ว จึงจะมีสิทธิ์เข้ารับการประเมินสมรรถนะครั้งที่ 2 โดยวิธีสอบสัมภาษณ์ ทั้งนี้จะต้องได้คะแนนสอบข้อเขียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60
การเตรียมตัวสอบ
ในส่วนการสอบวิชาเฉพาะตำแหน่ง ควรอ่านให้มากๆ ศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาตำแหน่งให้ดี ข้อสอบจะเป็นระเบียบข้อกฏหมาย วิชากฎหมายก็อ่านฉบับเต็ม ท่องให้ได้ทุกมาตราอย่าไปอ่านเเต่ช้อย มันไม่ตรงนัก ฝึกลองวิเคราะห์ข้อสอบ หาปากกาเน้นข้อความมาขีดเพื่อจำง่าย แล้วสรุป หรือท่องให้ได้ ฝึกทำข้อสอบเก่า โดยเฉพาะในเรื่องที่เป็นจุดบกพร่องของเราทำซ้ำๆจนเข้าใจ
ควรอ่านเนื้อหาที่จะออกสอบในประกาศ และดูเวลาว่าเหลือเวลากี่วันที่จะต้องสอบ และนำเนื้อหาการสอบมาทำความเข้าใจว่าแต่ละเรื่องเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง ค้นหาเนื้อหาแต่ละเนื้อหารวบรวมทุกสิ่งอย่างที่คิดว่าเกี่ยวข้องและจำเป็น แล้วแยกใส่ในแฟ้มงานเป็นหมวดๆ เมื่อได้เนื้อหาครบหมดแล้ววิเคราะห์ว่าแต่ละเนื้อหาใช้เวลาในการอ่านเท่าไหร่ แล้วนำผลรวมออกมาเทียบกับเวลาที่เรามีในการเตรียมตัวสอบ จากนั้นนำเวลามาถัวเฉลี่ย ให้ความหนักเบากับวิชาที่จะสอบ ว่าวิชาไหนเรื่องไหนใช้เวลาเท่าไหร่ แล้วจัดทำตารางการอ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาอาจจะแบ่งเป็นต่อสัปดาห์ หรือ 2 สัปดาห์ แล้วนำมาแปะไว้ที่ไหนก็ได้ที่เราสังเกตเห็นได้ชัด ในการอ่านแต่ละวิชาควรอ่านอย่างน้อย 2 รอบ รอบแรกเป็นการอ่านรวมๆ เพื่อหาว่าจุดไหนสำคัญบ้างให้นำปากกาเน้นคำ Mark ไว้ รอบที่สอง จดบันทึกสิ่งที่เรา Mark ไว้ สรุปเป็นภาษาของเราเองเพื่อเอาไว้อ่านก่อนสอบ 1 วัน และก่อนนอนนั่งสมาธิอย่างน้อย 5 นาที สวดมนต์ด้วยก็ยิ่งดี นอกจากนี้ควรศึกษาเส้นทางการสอบ ห้องสอบให้ดี พอถึงสนามสอบให้ตรวจดูห้องสอบหรือนั่งหน้าห้องสอบรอเลยก็ได้ เพื่อป้องกันความกังวลใจ หรือเรื่องรบกวนใจ เมื่อใกล้จะสอบควรงดการพูดจาเรื่อยเปื่อย คุยสนุกเรื่องอื่น กับเพื่อนที่ร่วมสอบ หรือใครก็ตามอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อป้องกันสมองไปจำอย่างอื่น ให้คิดแต่เรื่องสอบอย่างเดียว
นอกจากนี้ควรหาความรู้เกี่ยวกับหน่วยงานด้วย เช่น ประวัติ วิสัยทัศน์ พันธกิจ ค่านิยม ผู้บริหาร หน้าที่ความรับผิดชอบ โดยการหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต และความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ สังคม
นอกจากวิชาการที่ต้องใช้ตามวุฒิที่จะรับแล้ว ยังต้องทำการบ้านด้วยว่าหน่วยงานนั้นมีการแบ่งองค์กรยังไง ผู้บริหารเป็นใครในแต่ละระดับ แต่ละส่วนขององค์กรทำงานอะไร มีหน้าที่อะไร ตำแหน่งที่เราจะบรรจุมีหน้าที่อะไร ไปที่หน่วยงานนั้น ถ้ามีห้องสมุดหรือเอกสารเผยแพร่ควรไปอ่านให้หมด ปัจจุบันมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานหรือตำแหน่งที่จะทำหรือไม่ อย่างไร
ส่วนในการสอบสัมภาษณ์เป็นการสอบด้วยการสนทนาหรือพูดคุยกัน ดังนั้นผู้เข้าสอบควรจะทบทวนเตรียมความรู้หรือข้อมูลในส่วนที่เป็นวิชาการหรือเนื้อหาต่าง ๆ ที่ได้เตรียมไว้แล้วในการเตรียมตัวเข้าสอบข้อเขียน ซึ่งอาจจะใช้เวลาครั้งละ 10 – 30 นาที แล้วแต่กรณี หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า การเตรียมตัวเข้ารับการสอบสัมภาษณ์จำเป็นต้องทบทวนความรู้ และข้อมูลบางประการมิใช่เข้าสอบโดยมิได้ทบทวนความรู้หรือข้อมูลอะไรเลย การสัมภาษณ์เป็นการพูดคุยกัน ไม่ต้องเครียด ต้องแสดงความจริงใจ อย่าเสแสร้ง กรรมการจะดูกริยา ลักษณะการพูดจาเป็นว่าเป็นอย่างไรบ้าง เนียมไม่เนียม สำคัญจุดแรกที่กรรมการจะพิจารณาคือการแต่งกายของผู้เข้าสัมภาษณ์ ดูดี สะอาด ผมรัดผูกให้สวยงาม แต่งหน้าแต่พองาม พูดให้เป็นธรรมชาติที่สุด อย่าพาใครไปเป็นเพื่อน
ในการสัมภาษณ์ควรทำใจให้สบาย ตอบคำถามแบบธรรมขาติ เป็นตัวของตัวเอง โดยส่วนใหญ่กรรมการจะถามคำถามต่อไปนี้ คือ 1. ให้แนะนำตัวเอง 2.เหตุผลในการตัดสินใจเข้ารับราชการ 3. เล่าถึงประสบการณ์ในการทำงาน
วิชาที่ใช้สอบเป็นพนักงานราชการ มีดังนี้คือ
1. ประเมินความรู้ โดยวิธีสอบข้อเขียน (100 คะแนน)
- ประเมินความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสถานการณ์ทางด้านสาธารณภัย การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้าง อำนาจหน้าที่ ภารกิจ ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกรม ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ ความรู้เกี่ยวกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลอดจนความรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน
- ความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง
2. ภาคปฏิบัติ (เฉพาะตำแหน่งพนักงานขับรถและควบคุมเครื่องจักรกลขนาดหนัก) (100 คะแนน)
การประเมินครั้งที่ 2 โดยการสอบสัมภาษณ์ (100 คะแนน)
พิจารณาจากประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประวัติการทํางาน ประสบการณ์ที่เหมาะสมกับตำแหน่ง การมีมนุษย์สัมพันธ์ ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น ท่วงที วาจา อุปนิสัย อารมณ์ ทัศนคติ
มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และจรรยาบรรณ
วิชาที่ใช้สอบเป็นข้าราชการ มีดังนี้คือ
1. ความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง ( 200 คะแนน )
2. การสอบสัมภาษณ์ ( 100 คะแนน ) เป็นการทดสอบเพื่อวัดความเหมาะสมกับตําแหน่งที่จะบรรจุและแต่งตั้งโดยวิธีการสัมภาษณ์หรือวิธีอื่นเพื่อประเมินความเหมาะสมกับตําแหน่งจากประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประวัติการทํางานประสบการณ์ ท่วงทีวาจา อุปนิสัย อารมณ์ ทัศนคติการปรับตัวเข้ากับผู้ร่วมงาน สังคมและสิ่งแวดล้อม ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ปฏิภาณไหวพริบ บุคลิกภาพและพฤติกรรมของผู้สอบแข่งขันเพื่อให้ได้บุคคลที่มีคุณธรรม จริยธรรม ความรู้ความสามารถ ทักษะ สมรรถนะ และอื่นๆ ที่จําเป็นสําหรับตําแหน่ง
ทั้งนี้ กําหนดให้ผู้สมัครสอบ ต้องสอบความรู้ความสามารถเฉพาะตําแหน่งก่อนผ่านก่อน โดยมีคะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 จึงจะมีสิทธิเข้าสอบภาคความเหมาะสมกับตําแหน่ง
รายละเอียดวิชาที่สอบ
1 ความรู้เกี่ยวกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
2 แนวข้อสอบกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
3 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการบรรเทาสาธารณภัย
4 พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550
5 แนวข้อสอบพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550
6 สาระสำคัญพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
7 แนวข้อสอบความรู้เหตุการณ์ปัจจุบัน การเมือง เศรษฐกิจและสังคม
8 แนวข้อสอบความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
9 สรุปสาระสำคัญของประชาคมอาเซียน
ตำแหน่งที่สอบ
พนักงานขับและควบคุมเครื่องจักรกลขนาดหนัก
พนักงานนโยบายและแผนงาน
พนักงานปฏิบัติการด้านสาธารณภัย
พนักงานประจำสำนักงาน
พนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
พนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ERT)
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (Department of Disaster Prevention and Mitigation) หรือชื่อย่อ "ปภ." เป็นส่วนราชการระดับกรม สังกัดกระทรวงมหาดไทย ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545[2] เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการปฏิบัติภารกิจที่เคยซ้ำซ้อนอยู่ในหน่วยงานอื่นๆ ให้เป็นระบบ โดยมีภารกิจในการจัดทำแผนแม่บท วางมาตรการ ส่งเสริมสนับสนุนการป้องกันบรรเทาและฟื้นฟูจากสาธารณภัย โดยกำหนดนโยบายด้านความปลอดภัย สร้างระบบป้องกัน เตือนภัย ฟื้นฟูหลังเกิดภัย และการติดตามประเมินผล เพื่อให้หลักประกันในด้านความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
ในการสอบเข้ากรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การสอบบรรจุเข้ารับราชการผู้เข้าสอบจะต้องเป็นผู้สอบผ่านการวัดความรู้ความสามารถทั่วไป (ภาค ก.) ของสำนักงาน ก.พ. ก่อน แต่ถ้าสอบเป็นพนักงานราชการไม่ต้องใช้ใบสอบผ่านภาค ก ของ ก.พ. การสอบเข้ากรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จะมีการประเมินสมรรถนะอยู่ 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 โดยการสอบข้อเขียน ครั้งที่ 2 โดยการสัมภาษณ์ และจะต้องผ่านการประเมินสมรรถนะครั้งที่ 1 โดยวิธีการสอบข้อเขียนก่อนและเมื่อผ่านการประเมินสรรถนะครั้งที่ 1 แล้ว จึงจะมีสิทธิ์เข้ารับการประเมินสมรรถนะครั้งที่ 2 โดยวิธีสอบสัมภาษณ์ ทั้งนี้จะต้องได้คะแนนสอบข้อเขียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60
การเตรียมตัวสอบ
ในส่วนการสอบวิชาเฉพาะตำแหน่ง ควรอ่านให้มากๆ ศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาตำแหน่งให้ดี ข้อสอบจะเป็นระเบียบข้อกฏหมาย วิชากฎหมายก็อ่านฉบับเต็ม ท่องให้ได้ทุกมาตราอย่าไปอ่านเเต่ช้อย มันไม่ตรงนัก ฝึกลองวิเคราะห์ข้อสอบ หาปากกาเน้นข้อความมาขีดเพื่อจำง่าย แล้วสรุป หรือท่องให้ได้ ฝึกทำข้อสอบเก่า โดยเฉพาะในเรื่องที่เป็นจุดบกพร่องของเราทำซ้ำๆจนเข้าใจ
ควรอ่านเนื้อหาที่จะออกสอบในประกาศ และดูเวลาว่าเหลือเวลากี่วันที่จะต้องสอบ และนำเนื้อหาการสอบมาทำความเข้าใจว่าแต่ละเรื่องเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง ค้นหาเนื้อหาแต่ละเนื้อหารวบรวมทุกสิ่งอย่างที่คิดว่าเกี่ยวข้องและจำเป็น แล้วแยกใส่ในแฟ้มงานเป็นหมวดๆ เมื่อได้เนื้อหาครบหมดแล้ววิเคราะห์ว่าแต่ละเนื้อหาใช้เวลาในการอ่านเท่าไหร่ แล้วนำผลรวมออกมาเทียบกับเวลาที่เรามีในการเตรียมตัวสอบ จากนั้นนำเวลามาถัวเฉลี่ย ให้ความหนักเบากับวิชาที่จะสอบ ว่าวิชาไหนเรื่องไหนใช้เวลาเท่าไหร่ แล้วจัดทำตารางการอ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาอาจจะแบ่งเป็นต่อสัปดาห์ หรือ 2 สัปดาห์ แล้วนำมาแปะไว้ที่ไหนก็ได้ที่เราสังเกตเห็นได้ชัด ในการอ่านแต่ละวิชาควรอ่านอย่างน้อย 2 รอบ รอบแรกเป็นการอ่านรวมๆ เพื่อหาว่าจุดไหนสำคัญบ้างให้นำปากกาเน้นคำ Mark ไว้ รอบที่สอง จดบันทึกสิ่งที่เรา Mark ไว้ สรุปเป็นภาษาของเราเองเพื่อเอาไว้อ่านก่อนสอบ 1 วัน และก่อนนอนนั่งสมาธิอย่างน้อย 5 นาที สวดมนต์ด้วยก็ยิ่งดี นอกจากนี้ควรศึกษาเส้นทางการสอบ ห้องสอบให้ดี พอถึงสนามสอบให้ตรวจดูห้องสอบหรือนั่งหน้าห้องสอบรอเลยก็ได้ เพื่อป้องกันความกังวลใจ หรือเรื่องรบกวนใจ เมื่อใกล้จะสอบควรงดการพูดจาเรื่อยเปื่อย คุยสนุกเรื่องอื่น กับเพื่อนที่ร่วมสอบ หรือใครก็ตามอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อป้องกันสมองไปจำอย่างอื่น ให้คิดแต่เรื่องสอบอย่างเดียว
นอกจากนี้ควรหาความรู้เกี่ยวกับหน่วยงานด้วย เช่น ประวัติ วิสัยทัศน์ พันธกิจ ค่านิยม ผู้บริหาร หน้าที่ความรับผิดชอบ โดยการหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต และความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ สังคม
นอกจากวิชาการที่ต้องใช้ตามวุฒิที่จะรับแล้ว ยังต้องทำการบ้านด้วยว่าหน่วยงานนั้นมีการแบ่งองค์กรยังไง ผู้บริหารเป็นใครในแต่ละระดับ แต่ละส่วนขององค์กรทำงานอะไร มีหน้าที่อะไร ตำแหน่งที่เราจะบรรจุมีหน้าที่อะไร ไปที่หน่วยงานนั้น ถ้ามีห้องสมุดหรือเอกสารเผยแพร่ควรไปอ่านให้หมด ปัจจุบันมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานหรือตำแหน่งที่จะทำหรือไม่ อย่างไร
ส่วนในการสอบสัมภาษณ์เป็นการสอบด้วยการสนทนาหรือพูดคุยกัน ดังนั้นผู้เข้าสอบควรจะทบทวนเตรียมความรู้หรือข้อมูลในส่วนที่เป็นวิชาการหรือเนื้อหาต่าง ๆ ที่ได้เตรียมไว้แล้วในการเตรียมตัวเข้าสอบข้อเขียน ซึ่งอาจจะใช้เวลาครั้งละ 10 – 30 นาที แล้วแต่กรณี หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า การเตรียมตัวเข้ารับการสอบสัมภาษณ์จำเป็นต้องทบทวนความรู้ และข้อมูลบางประการมิใช่เข้าสอบโดยมิได้ทบทวนความรู้หรือข้อมูลอะไรเลย การสัมภาษณ์เป็นการพูดคุยกัน ไม่ต้องเครียด ต้องแสดงความจริงใจ อย่าเสแสร้ง กรรมการจะดูกริยา ลักษณะการพูดจาเป็นว่าเป็นอย่างไรบ้าง เนียมไม่เนียม สำคัญจุดแรกที่กรรมการจะพิจารณาคือการแต่งกายของผู้เข้าสัมภาษณ์ ดูดี สะอาด ผมรัดผูกให้สวยงาม แต่งหน้าแต่พองาม พูดให้เป็นธรรมชาติที่สุด อย่าพาใครไปเป็นเพื่อน
ในการสัมภาษณ์ควรทำใจให้สบาย ตอบคำถามแบบธรรมขาติ เป็นตัวของตัวเอง โดยส่วนใหญ่กรรมการจะถามคำถามต่อไปนี้ คือ 1. ให้แนะนำตัวเอง 2.เหตุผลในการตัดสินใจเข้ารับราชการ 3. เล่าถึงประสบการณ์ในการทำงาน
วิชาที่ใช้สอบเป็นพนักงานราชการ มีดังนี้คือ
1. ประเมินความรู้ โดยวิธีสอบข้อเขียน (100 คะแนน)
- ประเมินความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสถานการณ์ทางด้านสาธารณภัย การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้าง อำนาจหน้าที่ ภารกิจ ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกรม ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ ความรู้เกี่ยวกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลอดจนความรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน
- ความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง
2. ภาคปฏิบัติ (เฉพาะตำแหน่งพนักงานขับรถและควบคุมเครื่องจักรกลขนาดหนัก) (100 คะแนน)
การประเมินครั้งที่ 2 โดยการสอบสัมภาษณ์ (100 คะแนน)
พิจารณาจากประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประวัติการทํางาน ประสบการณ์ที่เหมาะสมกับตำแหน่ง การมีมนุษย์สัมพันธ์ ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น ท่วงที วาจา อุปนิสัย อารมณ์ ทัศนคติ
มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และจรรยาบรรณ
วิชาที่ใช้สอบเป็นข้าราชการ มีดังนี้คือ
1. ความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง ( 200 คะแนน )
2. การสอบสัมภาษณ์ ( 100 คะแนน ) เป็นการทดสอบเพื่อวัดความเหมาะสมกับตําแหน่งที่จะบรรจุและแต่งตั้งโดยวิธีการสัมภาษณ์หรือวิธีอื่นเพื่อประเมินความเหมาะสมกับตําแหน่งจากประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประวัติการทํางานประสบการณ์ ท่วงทีวาจา อุปนิสัย อารมณ์ ทัศนคติการปรับตัวเข้ากับผู้ร่วมงาน สังคมและสิ่งแวดล้อม ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ปฏิภาณไหวพริบ บุคลิกภาพและพฤติกรรมของผู้สอบแข่งขันเพื่อให้ได้บุคคลที่มีคุณธรรม จริยธรรม ความรู้ความสามารถ ทักษะ สมรรถนะ และอื่นๆ ที่จําเป็นสําหรับตําแหน่ง
ทั้งนี้ กําหนดให้ผู้สมัครสอบ ต้องสอบความรู้ความสามารถเฉพาะตําแหน่งก่อนผ่านก่อน โดยมีคะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 จึงจะมีสิทธิเข้าสอบภาคความเหมาะสมกับตําแหน่ง
รายละเอียดวิชาที่สอบ
1 ความรู้เกี่ยวกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
2 แนวข้อสอบกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
3 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการบรรเทาสาธารณภัย
4 พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550
5 แนวข้อสอบพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550
6 สาระสำคัญพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
7 แนวข้อสอบความรู้เหตุการณ์ปัจจุบัน การเมือง เศรษฐกิจและสังคม
8 แนวข้อสอบความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
9 สรุปสาระสำคัญของประชาคมอาเซียน
ตำแหน่งที่สอบ
พนักงานขับและควบคุมเครื่องจักรกลขนาดหนัก
พนักงานนโยบายและแผนงาน
พนักงานปฏิบัติการด้านสาธารณภัย
พนักงานประจำสำนักงาน
พนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
พนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ERT)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)